ตำนานบ้านหมาแข้ง


ตำนานบ้านหมาแข้ง
          ส่วนสาเหตุที่เรียกว่า บ้านหมากแข้ง เนื่องจากเดิมเป็นบ้านร้างเรียกว่า บ้านหมากแข้ง เพราะมีต้นหมากแข้ง (มะเขือพวง) ใหญ่ต้นหนึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ซึ่งมีตำนานเล่ากันสืบมา เรื่องบ้านหมากแข้งว่า
          "บริเวณใกล้เคียงที่สร้างวังของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดมัชฌิมา-
วาส มีโนนอยู่แห่งหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า "โนนหมากแข้ง" มีเจดีย์ศิลาแลง มีสัณฐานดังกรงนกเขาตั้งอยู่ที่โนนนั้น เล่ากันสืบมาว่า เป็นเจดีย์ก่อคร่อมตอหมากแข้งใหญ่ นัยว่ามีต้นหมากแข้งขนาดใหญ่ต้นหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงล้านช้างร่มขาวได้ให้มาโค่นไปทำกลอง และทำเป็นกลองขนาดใหญ่ได้ถึง ใบ ใบหนึ่งเอาไปไว้ที่นครเวียงจันทน์ ใช้ตีเป็นสัญญาณบอกเหตุในเมื่อข้าศึกศัตรูมาราวี เมื่อตีกลองใบนี้พระยานาคจะขึ้นมาช่วยรบข้าศึกศัตรูให้พ่ายแพ้ แต่ภายหลังถูกเชียงเมี่ยงไปหลอกให้ทำลายกลองใบนี้เสีย ชาวเวียงจันทน์จึงไม่มีพระยานาคมาช่วยดุจในอดีต ใบที่สองนำไปไว้ที่พระนครหลวงพระบางส่วนใบที่สามเป็นใบที่เล็กกว่า ใบนั้น ได้นำไปไว้ที่วัดหนองบัว (วัดเก่าตั้งอยู่ติดกับถนนสายอุดร - สกลนคร ห่างจากทางรถไฟประมาณ เส้น ยังมีเจดีย์ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน) เพราะมีกลองหมากแข้งอยู่ที่วัดซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งหนองบัว จึงเรียกว่า หนองบัวกลอง (แต่ในปัจจุบันคำว่ากลองหายไป คงเหลือแต่หนองบัวเท่านั้น) ต้นหมากแข้งต้นนี้คนในสมัยก่อนไม่มีความชำนาญในมาตรวัด จึงบอกเล่าขนาดไว้ว่า ตอต้นหมากแข้งนั้น ภิกษุ รูปนั่งฉันจังหันได้สะดวกสบาย"
          แสดงว่าต้นหมากแข้งต้นนั้นใหญ่โตมากเอาการทีเดียว แต่คงไม่ได้หมายความว่าภิกษุทั้ง รูป นั้นนั่งบนตอหมากแข้ง เห็นจะหมายความว่าภิกษุ รูปนั่งวงล้อมรอบตอหมากแข้ง โดยใช้ตอหมากแข้งนั้นเป็นโต๊ะหรือโตกสำหรับวางอาหาร แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองเห็นว่าเป็นต้นหมากแข้งที่ใหญ่มากทีเดียว
          เรื่องต้นหมากแข้งนี้ ท่านเจ้าคุณปู่พระเทพวิสุทธาจารย์ (บุญ บุญญศิริมหาเถระ) เจ้าอาวาสรูปที่ ซึ่งได้มาอยู่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ .. ๒๔๔๐ คือหลังจากสร้างวัดเพียง ปี ได้เล่าว่า ที่โนนหมากแข้งนั้นมีต้นหมากแข้งขนาดเล็กอยู่มากมาย และมีต้นหมากแข้งขนาดใหญ่เท่ากับต้นมะพร้าวขนาดเขื่องอยู่ต้นหนึ่ง แต่มีลำต้นไม่สูง เป็นพุ่มมีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกอย่างไพศาล ประมาณ .. ๒๔๔๒ มีแบ้ (แพะ) ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ จำนวนมากได้มากินใบกินกิ่งก้านของมันมันจึงตายเข้าใจว่า ต้นหมากแข้งต้นนี้จะเป็นหลานหรือเหลนของต้นหมากแข้งที่เจ้าเมืองลานช้างร่มขาวเอาไปทำกลองเพลนั้นแน่ เจดีย์ศิลาแลงนั้นตั้งอยู่ตรงกลางพระอุโบสถ วัดมัชฌิมาวาส ในปัจจุบันนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบ ที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้ง
          ครั้นต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขา ที่ /๑๗๔ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๓ (.. ๒๔๓๗) ถึง กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม สรุปความว่าพระองค์ทรงเห็นชอบด้วยกับกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ที่ได้เลือกบ้านหมากแข้งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน ดังความตอนหนึ่งว่า
          "บัดนี้ ได้ทราบว่า ที่ถอยลงมาตั้งอยู่บ้านหมากแข้ง ว่าเปนที่กลางป่า ไข้เจ็บชุกชุม ไม่เปนภูมิสถานซึ่งจะตั้งมั่งคงสำหรับข้าหลวงต่างพระองค์ ยั่งยืนต่อไปได้ จึ่งได้เรียกแผนที่มาดูก็เห็นอยู่ว่าตำบลซึ่งเธอถอยลงมาตั้งนั้น เปนที่สมควรแก่จะยึดหน่วงหัวเมืองริมฝั่งโขง แลจะส่งข่าวถึงหัวเมืองทั้งปวงได้โดยรอบคอบ มีระยะทางไม่สู้ห่างไกลทุกทิศ แต่เมื่อไต่สวนถึงประเทศที่นั้นก็ไปได้ความว่าเปนที่ไม่บริบูรณดี และมีไข้เจ็บชุกชุม มีความสงสารตัวเธอแลไพร่พลทั้งปวง ซึ่งขึ้นไปอยู่ด้วยจะได้ความลำบาก เจ็บป่วย จึ่งขอหาฤาตามความเห็นต่อไป" และได้ทรงหารือกับกรมหมื่นประจักษ์
ศิลปาคมว่า หากกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจะถอยลงมาอยู่ที่นครราชสีมาและให้ข้าหลวงไพร่พลอยู่ที่บ้านหมากแข้งก็ได้ แต่จะมีผลเสียทำให้หัวเมืองลาวเห็นว่า ฝ่ายเราย่อท้อต่อฝรั่งเศส และได้ทรงให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมตัดสินพระทัยเอง
          กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้มีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ มกราคม .. ๑๑๓ (.. ๒๔๓๗) สรุปความว่า กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมทรงมีความเห็นว่าภูมิประเทศของบ้านหมากแข้ง เหมาะสมและอุดมสมบูรณ์ ดังความตอนหนึ่งว่า
          "ข้าพระพุทธเจ้า ใด้ภักที่นี้ด้วยเวลาเดินทาง ครั้ง ต้องภักอยู่ เวลา ทั้ง คราวเพราะชอบภูมที่จริง ครั้นใด้มาอยู่จิงจังเข้าก็ยิ่งชอบมากขึ้น แต่เปนธรรมดาที่ ใดห่างจากบ้านเมืองที่ราษฎรค้าขายก็จำเปนที่จะหาอาหารลำบาก แต่บัดนี้ ก็บริบูรณกว่าเมืองอื่น ที่ใด้เห็นและพวกที่ใปมายังซ้ำกล่าวว่า ที่หนองคายเดี๋ยวนี้ ตลาดร่วงโรยใป สู้ที่นี้ใม่ใด้ จะยอให้หรืออย่างใร ใม่ทราบเกล้าฯ แต่ถ้าจะยอก็ละเอียดพอรับใด้คือ ใด้เดินตรวจดูในปี ๑๑๓ มีเรือนราษฎรอพยพเข้ามาจากหนองคาย และออกมาจากหนองละหาร - กุมภวาปี ขรแก่น เปนอันมาก กลางคืนแลดูเหนใฟรายใบ คล้ายแพที่จอดในลำน้ำกรุงเทพ จนมีพยานใด้ว่าเมื่อวันที่ เดือนนี้ พระยาใตรเพชรัตนสงครามข้าหลวงหนองคายสั่งให้คนเข้ามาซื้อศีศะหอมที่บ้านหมากแข้ง บาท ใด้ถามใด้ความว่า ที่โน่นใม่มีใครปลูกเพราะขายใม่ใด้"
          ส่วนทางด้านความเจ็บไข้ได้ป่วย ที่บ้านหมากแข้ง มีโรคภัยน้อยกว่าที่หนองคาย และในที่สุดกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้ทรงกราบบังคมทูลฯ ในตอนท้ายด้วยความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อความจงรักภักดีในแผ่นดิน และองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้ว่าจะมีความยากลำบากสักปานใดก็ตามดังความว่า
          "จะคิดถึงการแผ่นดินแล้ว เท่านี้ยังเพียงนี้ ถ้ายิ่งกว่านี้จะทำอย่างไรสู้แลกกับมันตัวต่อตัวดีกว่า เหนดีกว่านอนให้ฝีในท้องกินตาย"
๒๗
 
          ในที่สุดบ้านหมากแข้งก็ได้เป็นสถานที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบด้วยกับความเห็นของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ตามพระราชหัตถเลขาที่ ๑๒๘/๒๘๐๘ ลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๓ (..๒๔๓๗)
ถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า   
          "ถึง กรมดำรงราชานุภาพ ด้วยตามที่เธอได้ขอให้จดหมายไปถึง      กรมหมื่นประจักษ์
ศิลปาคมอันได้ส่งสำเนามาให้ดูแต่ก่อนแล้ว บัดนี้ ได้รับคำตอบยืนยันว่า บ้านหมากแข้งเป็นที่สมควรแลสมัคใจที่จะอยู่ในที่นั้น มีปันซ์ แลยูดี อไรเจือปนต่าง ได้ส่งสำเนามาให้ดูด้วย เมื่อตรวจสอบแผนที่ฤามีความเห็นที่จะอธิบายโต้แย้งอีกประการใด ขอให้บอกมาให้ทราบจะได้ตอบกรมหมื่นประจักษ์"
          และได้ทรงมีพระราชหัตถเลขา ที่ / ๓๔๕๐ ถึง กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ความว่า
          "ด้วย ได้รับหนังสือ ลงวันที่ มกราคมนี้ ซึ่งตอบช้าไป เพราะเหตุใดเธอคงจะทราบอยู่แล้วการซึ่งเธอเหนว่า บ้านหมากแข้งเปนที่สมควรจะตั้งอยู่ โดยอธิบายหลายประการนั้น ก็ให้ตั้งอยู่ที่นั้นจัดการเต็มตามความคิดที่เห็นว่าจะเป็นคุณแก่ราชการ"

บ้านหมากแข้งที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน
          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จตรวจราชการมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ดเมื่อ .. ๑๒๕ (.. ๒๔๔๙) ได้ทรงเล่าถึงเมืองอุดร (ขณะเป็นบ้านหมากแข้ง) ในขณะนั้นไว้ว่า
          "เวลานี้ที่ว่าการมณฑล ที่ว่าการอำเภอ ศาล เรือนจำ โรงทหาร โรงพัก ตำรวจภูธร ออฟฟิศ ไปรษณีย์ โทรเลข และบ้านเรือนข้าราชการอยู่ติดต่อเป็นระยะลำดับกันไป มีตลาดขายของสดและมีตึกอย่างโคราชของพ่อค้า นายห้างบ้าง มีวัดเรียกวัดมัชฌิมาวาสตั้งอยู่บนเนิน และมีบ่อน้ำใหญ่สำหรับราษฎรได้ใช้น้ำทุก ฤดูกาลด้วย มีบ้านเรือนราษฎรมาตั้งอยู่หลังบ้านข้าราชการ มีถนนตัดตรง ไปตามที่ตั้งที่ทำการและตลาดเหล่านี้หลายสาย และเมื่อใกล้เวลาข้าพเจ้าจะมาคราวนี้ มณฑลได้ตัดถนนตั้งแต่หลังที่ว่าการไปจนหนองนาเกลือเพิ่มขึ้นอีกสายหนึ่งและเมื่อรื้อที่ว่าการบัดนี้ ไปตั้งบนเนินใกล้หนองนาเกลือตามความตกลงใหม่ถนนสายนี้ จะบรรจบกับถนนเก่าเป็นถนนยาวและงามมาก"
          และได้ทรงอธิบายถึงหนองนาเกลือว่า
          "เป็นหนองใหญ่  เพราะปิดน้ำไว้คล้ายทุ่งสร้างที่เมืองขอนแก่น ได้ขนานนามว่าหนองประจักษ์"
          กองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้งในเวลานั้น นายสังข์ นุตราวงศ์ ทนายความอดีตข้าราชการกระทรวงยุติธรรมคนเก่าแก่เมืองอุดรธานี ได้เล่าให้ฟังว่า
          "ที่ทำการมณฑลและสถานที่ราชการต่าง นั้น ตั้งอยู่บริเวณใกล้หนองน้ำใหญ่ที่มีชื่อว่า หนองนาเกลือ (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็นหนองประจักษ์ในภายหลัง) บริเวณศาลาว่าการมณฑลและศาลประจำมณฑลอยู่ติดกัน และหันหน้าที่ทำการไปทางทิศเหนือ เพราะทั้งนี้ เนื่องจากเตรียมรับข้าศึกหากจะมีการรบกับฝรั่งเศส ส่วนที่ประทับของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมนั้น อยู่บริเวณที่เป็นต้นโพธิ์ใหญ่ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรงข้ามกับวัดวัชฌิมาวาสวัดเก่าแก่ของจังหวัดอุดรธานี ซึ่งต่อมาเป็นที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนาข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลลาวพวนสืบต่อจากกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม บริเวณที่เป็นทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าลักษณะคล้ายทุ่งนาผสมป่าละเมาะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่อย่างประปราย
          นอกจากนี้ บริเวณที่เป็นสำนักงานชลประทานจังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมทหารส่วนเรือนจำนั้นตั้งอยู่บริเวณที่เป็นที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานีในเวลานี้ และสำหรับหนองนาเกลือนั้นในเวลานั้นเป็นหนองน้ำที่กว้างใหญ่ เมื่อคนจะข้ามมาติดต่อกับส่วนราชการที่ตั้งศาลาว่าการมณฑลจากฝั่งหนองนาเกลือด้านตะวันตก มายังฝั่งตะวันออกก็จะต้องจ้างเรือแจวที่มีผู้มารับจ้างที่หนองนาเกลือเพราะในเวลานั้นน้ำลึก มีปลา และจรเข้ชุกชุม"
          ดังที่ได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิรูปการปกครองนั้น (ก่อน .. ๒๔๓๕) การปกครองของประเทศไทยในส่วนภูมิภาคเป็น "ระบบกินเมือง" จึงได้ทรงปฏิรูปการปกครองหัวเมืองต่าง เป็นแบบเทศาภิบาล โดยเริ่มตั้งแต่ .. ๒๔๓๕
(.. ๑๑๑) โดยมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ (เฉพาะในมณฑลลาวพวน เรียกว่า ข้าหลวงต่างพระองค์) ต่อมาได้ทรงเลิกตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ มีตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลแทนขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งสามารถแบ่งเบาพระราชภาระในการปกครองแผ่นดินลงได้ทั้งยังสามารถอำนวยความสุขร่มเย็นแก่อาณาประชาราษฎร์ได้เป็นอย่างดี
          ดังนั้น บ้านหมากแข้งในฐานะกองบัญชาการมณฑลลาวพวน จึงมีข้าหลวงใหญ่ปกครองตามลำดับ คือ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (.. ๑๑๒ - ๑๑๘) และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนา
(.. ๑๑๘ - ๑๒๕) ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองมณฑลจากข้าหลวงใหญ่ (หรือข้าหลวงต่างพระองค์) เป็นสมุหเทศาภิบาล ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย
          ใน .. ๒๔๔๒ (.. ๑๑๘) ปีกุน เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลฝ่ายเหนือ โดยมีเมืองต่าง รวม ๑๒ เมือง ขึ้นกับมณฑลฝ่ายเหนือ คือ เมืองหนองคาย หนองหาน ขอนแก่น ชนบท หล่มศักดิ์ กมุทาสัย สกลนคร ชัยบุรี โพนพิสัย ท่าอุเทน นครพนม มุกดาหาร
          ต่อมา ใน .. ๒๔๔๓ เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลอุดรและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า เมืองที่จัดแบ่งไว้ในมณฑลอุดรมีมากเกินความจำเป็นในการปกครอง จึงทรงรวมหัวเมืองในมณฑลเป็นบริเวณซึ่งมีฐานะเท่าจังหวัดเพื่อให้เหมาะสมแก่การปกครอง และโปรดให้ยุบเมืองจัตวาบางเมืองลงเป็นอำเภอ ส่วนอำเภอใดที่เคยเป็นเมืองขึ้นกับเมืองที่ตั้งเป็นบริเวณหรือสมควรจะให้ขึ้นกับบริเวณใดก็ให้รวมเข้าไว้ในบริเวณนั้น โดยโปรดให้แบ่งออกเป็น บริเวณ คือ
          () บริเวณหมากแข้ง มี เมือง คือ บ้านหมากแข้ง  เมืองหนองคาย เมืองหนองหาร เมืองกุมภวาปี เมืองกมุทาไสย เมืองโพนพิไศรย เมืองรัตนวาปี ตั้งที่ว่าการบริเวณที่บ้านหมากแข้ง
          () บริเวณพาชี มี เมือง คือ เมืองขอนแก่น เมืองชนบท เมืองภูเวียง ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองขอนแก่น
          () บริเวณธาตุพนม มี เมือง คือ เมืองนครพนม เมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน เมืองมุกดาหาร ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองนครพนม
() บริเวณสกลนคร มี เมืองคือ เมืองสกลนคร ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองสกลนคร
() บริเวณน้ำเหือง มี เมือง คือ เมืองเลย เมืองบ่อแตน เมืองแก่นท้าว ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองเลย
ลักษณะการปกครองที่รวมเมืองต่าง เข้าด้วยกัน และจัดแบ่งการบริหารออกเป็น บริเวณ ซึ่งบริเวณเหล่านี้มีฐานะเทียบเท่ากับจังหวัด ส่วนเมืองที่อยู่ในสังกัดบริเวณมีฐานะเทียบเท่ากับอำเภอนั้นอาจะเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะจัดการปกครองในมณฑลอุดรให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ออกไปเป็นข้าหลวงบริเวณ ควบคุมเจ้าเมืองต่าง ซึ่งมีข้าหลวงตรวจการประจำเมืองควบคุมอีกชั้นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าอำนาจจากส่วนกลางได้ขยายออกไปควบคุมอำนาจของเจ้าเมืองท้องถิ่นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางได้ผลดียิ่งขึ้น สามารถควบคุมเจ้าเมืองและตรวจตราทุกข์สุขของราษฎรได้อย่างทั่วถึง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น